รีวิวหนัง Uncorked (2020) บ่มรักสู่ฝัน หนุ่มวัยรุ่นผิวดำ เอไลจาห์ (มาโมดู เอธี) ที่หันเหตัวเองออกจากการเรียนมหาวิทยาลัย ไปสู่เส้นทางความฝันในการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์ (Sommelier Master)” ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีเพียงน้อยนิดในโลกให้เป็นจริง ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกความหวังของพ่อในการรับช่วงต่อร้านบาร์บีคิวชื่อดังของครอบครัวในเมมฟิสไปด้วย พล็อตหนังวัยรุ่นสร้างแรงบันดาลใจไปสู่เส้นทางฝัน ในอาชีพที่ต้องเรียกว่าแปลกใหม่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน อย่างการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์”
Uncorked บ่มรักสู่ฝัน เป็นหนังที่เล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เอไลจาห์” ที่เขามีความชื่นชอบและหลงใหล่ในไวน์ ด้วยรสนิยมความชอบและความหลงใหลนี้เองจึงทำให้เขามีความมุ่งมั่นที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นซอมเมอลิเยร์มือหนึ่งให้ได้ แต่ทว่าเส้นทางความฝันของเขานั้นไม่ได้ง่ายเลย เนื่องจากว่าตัวเขาเองนั้นทางครอบครัวได้มีธุรกิจบาร์บีคิวอยู่แล้ว ย่อมเป็นที่คาดหวังของพ่อว่าเขาจะมารับช่วงกิจการธุรกิจนี้ต่อ เรื่องราวระหว่างความรัก ความสัมพันธ์ การเสียสละ และการทำตามความฝันของพ่อลูกจะเป็นอย่างไรต่อไป
อีกเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของความดราม่าและโรแมนซ์ เป็นหนังที่จะทำให้เราจุดไฟในตัวติดอีกครั้ง และเดินไปในเส้นทางที่เราจะต้องลุกขึ้นมาเพื่อทำให้มันกลายเป็นจริง
ซึ่งนอกจากจะเจาะลึกเรื่องราวของอาชีพนี้ไว้ดีพอสมควรแล้ว ก็ยังเป็นหนังของคนผิวดำที่ไม่มีความรุนแรง ไม่มีแก๊ง ไม่มียาเสพติด ไม่มีเรื่องของอาชญากรรมมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหาได้ยากเหมือนกันกับการทำหนังคนผิวดำที่บทดูเรียบง่ายเรียลๆ มีความเป็นธรรมชาติในเรื่องราวที่แทบจะไม่ปรุงแต่งอะไรให้เป็นหวือหวา แต่พุ่งเป้าเจาะลึกการก้าวเข้ามาสู่โลกของอาชีพที่มีคนรู้จักน้อยมาก และก็มีคนที่เป็นได้เพียงน้อยนิดในโลก ซึ่งในเรื่องระบุไว้แค่ 230 คน
คนดูจะได้เห็นตั้งแต่จุดเริ่มของอาชีพซอมเมลิเยร์ ที่พระเอกทำงานในร้านขายไวน์แล้วมีเจ้าของร้านเป็นซอมเมลิเยร์คนหนึ่งที่มีหน้าที่เลือกซื้อไวน์จากทั่วโลกมาขาย ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันมากมายหลายพันชนิด แล้วก็ได้เห็นเรื่องราวการก้าวขาเข้าไปในโลกของซอมเมลิเยร์ที่ต้องสอบเข้าโรงเรียน Sommelier school ที่ค่าเรียนก็แพง แถมยังต้องมีการเดินทางไปปารีสเมืองแห่งไวน์ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกินตัวไปมาก จนเกิดความขัดแย้งกับพ่อที่หวังให้ลูกสืบทอดร้านของตระกูลมาตลอด
ในขณะที่แม่สนับสนุนให้ลูกไปตามฝัน แต่หนังก็ไม่ได้เน้นปมขัดแย้งดราม่าจนเกินเลยไปนัก เรื่องยังอยู่ในระดับพอดีๆ ที่ทั้งสองฝ่ายพอจูนกันได้ แม้ว่าพ่อจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกฝันไว้ก็ตามหนังไล่ลำดับเรื่องไปแบบเรียบๆ ให้เห็นว่าการเป็นซอมเมลิเยร์ไม่ใช่แค่ไม่ง่าย แต่ต้องบอกว่ายากในระดับที่สมกับมีเพียง 230 คนในโลก ต้องถือว่าตัวเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวของการมาเป็นซอมเมลิเยร์ได้ละเอียดมาก ซึ่งทั้งเรื่องมีแต่ชื่อไวน์แปลกๆ สถานะเคมี
การรับรู้รส จุกไม้ก๊อก และอะไรอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบมากมายเกินกว่าเราคนดูหรือแม้แต่คนกินไวน์จะเคยรับรู้กัน คนที่จดจำและแม่นยำกับการจำแนกไวน์ขนาดนั้นจึงเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่หาได้ยากมากของอาชีพนี้ ซึ่งต้องมีการสอบสุดหินที่ห้ามผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียวถึงจะได้รับสิทธิการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์” ได้ ซึ่งถ้าถามว่าอาชีพนี้สำคัญยังไง ในเรื่องมีคำตอบไว้โดยละเอียดอยู่แล้วว่า
เป็นเหมือนบ๋อยชั้นสูงของร้านอาหารที่มีไวน์ไว้บริการ ซึ่งไม่ใช่แค่การแนะนำไวน์ให้เข้ากับอาหาร แต่ยังรวมถึงวิธีการดูแลเสิร์ฟ และจิตวิทยาในการรับมือกับลูกค้าที่อาจจะวีนไม่พอใจได้ทุกเมื่อถ้าแนะนำไม่เข้าหู
แม้แต่การอ่านที่มาเชื้อชาติของแขกให้เข้ากับไวน์ก็รวมอยู่ในความสามารถของซอมเมลิเยร์ด้วยเช่นกันดาราในเรื่องอย่างที่รับบท เอไลจาห์ ก็แสดงได้ดีมาก ดูเป็นหนุ่มผิวดำที่สุภาพเรียบร้อย มีความลุ่มลึกละเมียดละไมเวลาสนใจไวน์จริงจัง ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกที่แอบขบถต่อพ่ออยู่เนืองๆ ซึ่งดราม่าระหว่างพ่อกับลูกก็มีบทสรุปที่ลงตัวแบบไม่ต้องบิ้วอะไรมากมาย หนังทำอารมณ์ออกมาได้เรียบง่ายแต่เป็นไปตามจริงที่ควรจะเป็นจนจบเรื่อง ที่แม้อาจจะเรียบๆ แต่กลับให้ความรู้สึกสร้างฝันได้แรงบันดาลใจไม่น้อยเลย
นี่เป็นหนังที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องบิ้วอารมณ์อะไรนัก แต่ก็มาพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ของอาชีพซอมเมลิเยร์ที่หาดูได้ยาก ดูจบแล้วอิ่มเอมเบาๆ ลงตัว แถมได้ความรู้เรื่องไวน์ไปอีกเป็นลังครับ
จุดเด่น
- เจาะลึกโลกของการเป็นผู้เชี่ยวชาญไวน์
นักแสดงตัวเอกหลักหล่อสุมขุมนุ่มลึก
หนังคนดำที่บทเป็นธรรมชาติ ไร้ความรุนแรงใดๆ มาเกี่ยวข้อง
จุดด้อย
- เรื่องราวเรียบๆ เป็นธรรมชาติไม่ได้ประดิษฐ์อะไรมากอาจจะไม่ถูกใจคนดูที่ชอบแนวบิ้วอารมณ์ดราม่า
- ตัวละครสมทบบางคนที่โดดเด่นกลับถูกตัดออกจากเรื่องกลางทางจนรู้สึกน่าเสียดาย
สรุป เป็นหนังที่คนดูจะได้เรื่องราวความรู้เกี่ยวกับไวน์ไปเต็มๆ แบบไม่มีกั๊ก เป็นหนังที่ทำเกี่ยวกับอาชีพที่ปัจจุบันก็ยังมีน้อยคนนักที่ทำอาชีพนี้ในโลก ซึ่งก็ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ตัวหนังจะพาให้เราไปเห็นเลยก็ว่าได้
ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่มันฉูดฉาด แต่เป็นหนังที่นุ่มลึกเดินเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะนักแสดงหนุ่มที่แสดงออกมาได้ดีเยี่ยมรับรู้ถึงความฝันและอุปนิสัยของเขาได้ออกมาเป็นอย่างดี
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นหนังที่ใส่ข้อมูลในทุกข้อสงสัยมาได้อย่างชัดเจน เช่น อาชีพนี้มีไว้ทำไม มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ยากง่ายแค่ไหน เราก็จะได้คำตอบทั้งหมดจากในเรื่อง ซึ่งก็ขอบอกเลยว่าเส้นทางการไปสู่อาชีพนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยทีเดียว
และสำหรับประเด็นดราม่าความขัดแย้งระหว่างพ่อและลูกก็ได้หยิบประเด็นชูออกมาให้เห็นอย่างพอดิบพอดี ไม่ได้มีความขัดแย้งที่ทำให้เราต้องพลอยหนักใจขนาดนั้น แต่มีการคลี่คลายปมเรื่องนี้ได้อย่างเรียบเนียน หากพูดถึงหนังเรื่องนี้ก็คงสรุปได้ว่าเป็นหนังที่เราดูแล้วจะรู้สึกอิ่มเอมทางอารมณ์และยังได้ข้อมูลความรู้เพิ่มเติมมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นผลที่ดีมากๆจากการดูหนังเรื่องหนึ่ง
Directed by | Prentice Penny |
---|---|
Produced by |
|
Written by | Prentice Penny |
Starring |
|
Music by | Hit-Boy |
Cinematography | Elliot Davis |
Edited by | Sandra Montiel |
Production
companies |
|
Distributed by | Netflix |
Release date
|
|
Running time
|
104 minutes[1] |
Country | United States |
Language | English |